วิจารณ์สนั่น! ตำรวจหัวเราะ ระหว่างสัมภาษณ์ กราดยิงหนองบัวลำภู

วิจารณ์สนั่น! ตำรวจหัวเราะ ระหว่างสัมภาษณ์ กราดยิงหนองบัวลำภู

ชาวเน็ตสับแหลก หลัง ตำรวจหัวเราะ ระหว่างสัมภาษณ์กับสื่อเรื่อง กราดยิงหนองบัวลำภู ชาวเน็ตถามหัวเราะหาอะไร? เหมาะสมหรือไม่ กลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงและตั้งคำถามถึงความเหมาะสม หลังจากที่ พล.ต.ต.ไพศาล ลือสมบูรณ์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 ได้ให้สัมภาษณ์โฟนอินกับผู้สื่อข่าวช่อง ThaiPBS ถึงเหตุกราดยิงหนองบัวลำภูที่เกิดขึ้น

ทางผู้สื่อข่าวได้ถามถึงเรื่องยอดผู้ได้รับบาดเจ็บถึงเหตุดังกล่าว 

ก่อนที่จะถามว่า ผู้เสียชีวิต 32 ศพ (ในขณะนั้น) ได้รวมถึงผู้ก่อเหตุแล้วใช่หรือไม่ ซึ่ง พล.ต.ต.ไพศาล ได้หัวเราะและตอบว่าตนเองก็ไม่มั่นใจว่ายอดผู้เสียชีวิตรวม ตำรวจคลั่ง ไปแล้วรึยัง หลังจากที่คลิปดังกล่าวได้รับการเผยแพร่ออกไป ชาวเน็ตก็ออกมาวิพากษ์วิจารณ์พฤติกรรมของ พล.ต.ต.ไพศาล กันเป็นจำนวนมาก เพราะเหตุดังกล่าวเป็นเหตุสลด สะเทือนใจ และไม่ควรมองว่าเป็นเรื่องตลก พร้อมต่อว่า รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 ด้วยถ้อยคำที่รุนแรง

ทั้งนี้ พล.ต.ต.ไพศาล ยังไม่ได้ออกมากล่าวถึงเหตุการณ์แต่อย่างใด ส่วนยอดผู้เสียชีวิตจากเหตุกราดยิงหนองบัวลำภูในขณะนี้อยู่ที่ 38 ศพ

ทางอัยการ สคช. จะเเจ้งสิทธิ์ต่างๆ พร้อมประสานการช่วยเหลือ เรื่องเอกสารที่จะต้องเขียนหรือกรอกข้อความ เพื่อรับสิทธิประโยชน์ต่างๆ จากทั้งภาครัฐหรือประกันภัย พร้อมยินดีบริการรถรับส่งเพื่อยื่นเอกสารต่างๆ ให้ ช่วยกรอกข้อความ ช่วยดูแลความครบถ้วนสมบูรณ์ของเอกสาร ไม่ให้เกิดข้อขัดข้องในการขอรับสิทธิ์ต่างๆ

นายนิติคุปตก์ ได้รายงานสถานการณ์การในการให้ความช่วยเหลือว่า ได้ร่วมกับ หัวหน้าส่วนในจังหวัดหนองบัวลำภูเข้าไปยังที่เกิดเหตุ และคณะร่วมกันแถลงข่าวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ทั้งประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ของประชาชนที่ได้รับความเสียหาย และบทบาทของอัยการในการที่จะเข้าไปช่วยเหลือในเรื่องของการจัดการมรดกและเรื่องของค่าสินไหมทดแทนต่างๆ

น.ส.นารี ตัณฑเสถียร อัยการสูงสุด ได้สั่งการให้อธิบดีอัยการ ภาค 4 นายพงษ์ศักดิ์ รัตนพิสิฐ และคณะสำนักงานอัยการคุ้มครองสิทธิ์ ภาค 4 ลงพื้นที่หนองบัวลำภู เพื่อสนับสนุนการช่วยเหลือคุ้มครองสิทธิ์แก่ครอบครัวผู้ประสบเหตุ

ทางอัยการยืนยันว่าจะให้ความช่วยเหลือเหยื่อเหตุกราดยิงที่หนองบัวลำภูในทุกมติ ว่าใครจะเขียนคำร้องไม่เป็น กลัวจะเขียนผิด อัยการเราจะไปช่วยเขียนให้ กรอกแบบฟอร์มต่างๆ เเละถ้าจะไปยื่นคำร้องเเล้วไม่มีรถเดินทางไป ทางอัยการ สคช.เราก็จะช่วยดูเเล รับส่ง เต็มที่ และหากมีความประสงค์ที่จะเรียกค่าเสียหายก็จะช่วยจัดทนายความอาสาพิจารณา ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากทรัพย์มรดกของตำรวจคลั่งผู้ก่อเหตุ ตามกฎหมาย ต่อไป

โฆษกรัฐบาลเตือน ระวังมิจฉาชีพ หลอกบริจาคหนองบัวลำภู

โฆษกรัฐบาลเตือนประชาชน ระวังมิจฉาชีพ หลอกบริจาคหนองบัวลำภู เบื้องต้นดีอีเอสสั่งเฝ้าระวังและดำเนินการอย่างเข้มงวดแล้ว

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส) ได้ดำเนินการ ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้มอบหมายให้เฝ้าระวัง ตรวจสอบไม่ให้มีการใช้สื่อสังคมออนไลน์หรือช่องทางอื่น ๆ ในการหลอกลวงประชาชนที่ต้องการบริจาคกรณีต่าง ๆ

ทั้งนี้ ดีอีเอสได้พบมีผู้โพสต์ทางโซเชียลมีเดียเพื่อเชิญชวนร่วมบริจาคแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากเหตุการณ์ที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก อบต.อุทัยสวรรค์ อ.นากลาง จ.หนองบัวลำภู จำนวน 13 เพจ โดยพบเป็นเพจต้องสงสัยว่ามีการหลอกลวงประชาชน 2 เพจ ซึ่งต่อมาได้มีการลบโพสต์ออกไปแล้ว แต่เจ้าหน้าที่ได้รวบรวมข้อมูลส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบโดยหากพบว่าเป็นการเจตนาหลอกลวงประชาชนจริง จะมีการดำเนินคดีทางกฎหมายอย่างเด็ดขาด

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ในช่วงเวลาที่ผู้สูญเสียต่างยังอยู่ในความโศกเศร้า มีพี่น้องชาวไทยจำนวนมากที่ประสงค์จะร่วมส่งกำลังใจในรูปแบบเงินบริจาค รัฐบาลขอเน้นย้ำให้ประชาชนที่ต้องการบริจาคเงินไม่ว่าจะเป็นการบริจาคแก่ครอบครัวผู้เสียหายจากเหตุการณ์ที่หนองบัวภู หรือบริจาคแก่ผู้ประสบภัยธรรมชาติ น้ำท่วม ขอให้ตรวจสอบโดยละเอียดก่อนโอนเงินบริจาค ให้แน่ใจว่าผู้เปิดรับบริจาคแต่ละช่องทางนั้นเป็นหน่วยงาน หรือบุคคลที่มีความน่าเชื่อถือ และมั่นใจว่าเงินบริจาคจะส่งไปยังครอบครัวผู้ประสบเหตุ

นอกจากนี้ รัฐบาลขอเตือนผู้ที่คิดฉวยโอกาสหลอกลวงประชาชนว่า ช่วงเวลานี้คนไทยควรช่วยเหลือให้กำลังใจ ขออย่าซ้ำเติมครอบครัวผู้สูญเสีย หรือผู้ประสบภัยต่าง ๆ ด้วยการหาประโยชน์กับช่วงเวลาที่ยากลำบาก โดยกระทรวงดีอีเอสได้มีเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังการกระทำผิดผ่านช่องทางต่าง ๆ อย่างเข้มงวด ทั้ง Facebook , YouTube, Instagram พร้อมกับประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในการดำเนินการตามกฎหมายอย่างใกล้ชิด

ทั้งนี้ หากพบการฝ่าฝืน เจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบเป็นการหลอกลวงประชาชน จะมีความผิดทั้งในส่วนของการนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จ ตาม พ.ร.บ.การกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มาตรา 14 (1) มีโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และยังเข้าข่ายการฉ้อโกงประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 โทษจำคุกไม่เกิน 5ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับด้วย

แนะนำ : เคล็ดลับต่างๆ | เว็บรวมวิธีต่างๆ How to | จัดอันดับซีรีย์ | รีวิวครีม